อาจารย์วันชัย  พรหมพา  ในยุคนี้อาจจะไม่มีใครรู้จักคนชื่อนี้   แต่ในช่วงการเคลื่อนไหวย้อนหลังไปอีกสักสิบปี  ท่านมีชื่อเสียงมากในแวดวงการเคลื่อนไหว  โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวใน “ขบวนการกรรมกรไทย”    

         “หนึ่งทศวรรษวันชัย พรหมพา” อาจารย์วันชัย  พรหมพา  ในยุคนี้อาจจะไม่มีใครรู้จักคนชื่อนี้   แต่ในช่วงการเคลื่อนไหวย้อนหลังไปอีกสักสิบปี  คุณวันชัย  พรหมพา  ท่านมีชื่อเสียงมากในแวดวงการเคลื่อนไหว  โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวใน “ขบวนการกรรมกรไทย”   คุณวันชัยมีบทบาทสำคัญ   มีการนำการต่อสู้ทางความคิด และการต่อสู้ทางทฤษฏี  

            ในช่วงการ “ต่อสู้”ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)กับกองทัพแห่งชาติ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่สามารถเข้ามามีบทบาทนำการเคลื่อนไหวของกรรมกรได้  แม้จะมีความพยายามเพราะมีการจัดตั้งและ “แนวร่วม”ของ พคท.มีอยู่มาก  แต่ด้วยแนวทางการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ใช้ยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธ ป่าล้อมเมือง ซึ่งเป็นแนวทางรุนแรง เป็นยุทธวิธีที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของชนชาติไทย  ที่มีลักษณะพิเศษประจำชาติไทย  คือ  มีความเป็นอหิงสา   รักความเป็นไท  และรู้จักประสานประโยชน์  ลักษณะพิเศษของชนชาติไทยเช่น การต่อสู้ด้วยอาวุธ ป่าล้อมเมืองไม่สามารถนำการต่อสู้ไปสู่ชัยชนะได้ บทบาททางประวัติศาสตร์อันสำคัญ  คือ การประกาศแนวทางของขบวนการกรรมกรไทย เรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติ”  ซึ่งประกาศ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518  ณ สวนลุมพินี  มีการชุมนุมของกรรมกรทั่วประเทศ   การประกาศแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติของขบวนการกรรมกรไทย ณ ครั้งนั้น  ทำให้กรรมกรไทยไม่เข้าร่วมการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  และสามารถสกัดการกันไม่ให้กรรมกรไทยเข้าร่วมกับ พคท. คือ  ไม่หนีเข้าป่า ในช่วง เหตุการณ์ 2519 หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519  บทบาทของกรรมกรได้ร่วมกับกองทัพแห่งชาติ เพื่อยกระดับการเคลื่อนไหวที่กองทัพแห่งชาติได้ถูกทำแนวร่วมมุมกลับมาโดยตลอดเพราะกองทัพมักจะใช้ “วิธีการรัฐประหาร”  ซึ่งเป็นวิธีการรุนแรงจึงกลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ”ให้กับยุทธศาสตร์ของ พคท.  หรือ  จะเรียกอีกประการหนึ่งว่า กองทัพ คือ  เครื่องมือให้ พคท. ได้รับชัยชนะ
การผลักดันให้รัฐบาลสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์  ออกประกาศ นิรโทษกรรมให้กับแกนนำนักศึกษา  โดยมีออกเป็น พรบ.เพราะว่าในสภาเต็มไปด้วยแนวร่วม พคท. ซึ่งไม่สามารถจะออกเป็น พรบ.ได้เลย  จะถูกขัดขวาง
เพราะการผลักดันของกรรมกรที่มีพันธมิตร คือ กองทัพจึงทำให้ พคท.ไม่มีกำลังแนวร่วมในเมือง ไม่สามารถยกระดับการเคลื่อนไหวในเมืองไทยได้ เพราะช่วงนั้น  พคท. มีเขตการยึดครองประเทศไทยเกือบค่อนประเทศและประกาศชัยชนะเบ็ดเสร็จใน ปี 2525  
            หลังการสลายแนวร่วมในเมือง แม้รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์จะมีบทบาทสำคัญในการสลายแนวร่วมในเมืองไปได้ระดับหนึ่ง  แต่ก็เพราะรัฐบาลในช่วงนั้นอ่อนแอมาก เนื่องจากการปกครองที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมาอย่างยาวนาน  ที่จะให้รัฐบาลชนิดนี้ทำขั้นตอนยุติสงครามจึงเป็นเรื่องยากเย็นและไม่ทันการณ์  
เมื่อการเปลี่ยนรัฐบาลมาสู่รัฐบาลพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ ก็ไม่รีรอที่จะให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะได้อย่างง่ายดาย   จึงนำไปสู่การประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  66/2523 “การต่อสู้เพื่อให้ชนะคอมมิวนิสต์”  
การประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 รัฐบาลและกองทัพไทยใช้มาตรการทางการเมือง  เพื่อรุกกลับต่อแนวทางของ พคท. ด้วย “มาตรการขยายเสรีภาพของบุคคล”  ซึ่งเป็นหัวใจหลักของหลักการประชาธิปไตย ใน 5 ข้อ ในข้อที่  2 โดยหลักการประชาธิปไตยประกอบไปด้วย 1. อำนาจอธิปไตยของปวงชน 2. เสรีภาพของบุคคลบริบูรณ์ 3. ความเสมอภาค 4. หลักนิติธรรม 5. การปกครองจากการเลือกตั้ง มาตรการรุกกลับทางการเมือง ด้วย “หลักการขยายเสรีภาพของบุคคล”  นั้น  ทำให้ แนวร่วมของ พคท.ที่ต่อสู้ในป่า ยอมกลับเข้าเมืองเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) โดยไม่มีความผิดเพราะเข้าใจผิดและเห็นผิดต่อสถานการณ์จริง ว่าเมื่อได้อำนาจแล้วบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยสามารถขจัดการคอร์รับชั่น  ประชาชนจะสุขสบาย ประชาชนมีเสรีภาพ  มีความเสมอภาค ฯลฯ   แนวร่วมและนักศึกษามีความเห็นผิดต่อทฤษฏีทางการเมืองโดยเฉพาะความเข้าใจผิดแนวทางการเมืองของคณะราษฏร์ ว่า “บ้านเมืองเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว  เมื่อ  2475 ในการเปลี่ยนแปลงของคณะราษฏร์” อีกประการหนึ่งยังเกิดความสับสนในทฤษฏีทางการเมืองของลัทธิคอมมิวนิสต์  นอกจากนั้น  องค์การนำของ พคท. ก็ขัดแย้งกัน  ถ้าขึ้นมาปกครองประเทศก็ยิ่งจะนำพาประเทศชาติเดินลงเหว แม้หลังสงครามกลางเมืองยุติลง ผรท. ที่กลับเข้าป่าก็ไม่ยอมละทิ้งแนวทางเดิม  และไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงกับกองทัพไทยและกรรมกร  คือ  “การร่วมพัฒนาการเมือง”  เพื่อพัฒนาชาติไทย
ในข้อตกลงเพื่อร่วมกันพัฒนาชาติไทย  นั้น  ก็คือ  การพัฒนาการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย  หรือ การสร้างประชาธิปไตย  เพราะการพัฒนาประชาธิปไตย  นั้น  จะต้องสร้างประชาธิปไตยก่อนถึงจะพัฒนาประชาธิปไตยได้  
และการจะสร้างประชาธิปไตยที่ได้ตกลงร่วมกัน  คือ  “การขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชน” ซึ่งเป็นมาตรการสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  66/2523 การต่อสู้เพื่อให้ชนะคอมมิวนิสต์  

 

            เมื่อไม่ได้ทำการรุกกลับทางการเมืองตามมาตรการขั้นตอนที่ 2 ในทางการเมือง ผรท. ก็หันกลับมาเคลื่อนไหวในเมือง  ในสาขาอาชีพต่างๆ ยังใช้แนวทางเดิมเรื่อยมา  โดยเฉพาะแนวทางคณะราษฏร์ บางคนเป็นนักการเมือง  นักวิชาการตามมหาวิทยาลัย  สืบทอดมรดกแนวทางการเมือง มาอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ”  เห็นว่าถ้าจะแก้ไขปัญหาทางการเมือง จะต้องแก้ที่ตัวรัฐธรรมนูญ  เห็นกฎหมาย “รัฐธรรมนูญ”กับ “ระบอบประชาธิปไตย”เป็นสิ่งเดียวกัน  การเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงกลับอยู่ภายใต้แนวทางการเมืองของอีหรอบเดิม  เป็น “วงจรอุบาทว์”  เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นก็จะมีคณะทหารเข้ามายึดอำนาจทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ หาว่ารัฐธรรมนูญ  คือ  ตัวปัญหาทางการเมือง  และมาร่างกันใหม่  ร่างเสร็จก็จัดการเลือกตั้ง  เมื่อเลือกตั้ง ได้รัฐบาลเลือกตั้ง ก็จะได้รัฐบาลชนิดเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยหลัง “สงครามกลางเมือง”ยุติลงก็ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองดีขึ้นกว่าแต่ก่อนประการใดเลย แต่กลับหนักขึ้น  จนถึงขั้นที่รุนแรงที่แนวร่วมได้ยกระดับขึ้นสู่อีกรูปแบบหนึ่ง  คือ  “การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”และ “ปฏิรูปกองทัพ”  โดยปราศจากมาตรการขยายเสรีภาพของบุคคลและมาตรการขยายอำนาจอธิปไตยปวงชน ตามหลักการประชาธิปไตย  ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพถูกแนวร่วมรุกกลับทางการเมืองด้วยการเรียกร้องเสรีภาพ มนุษย์เท่าเทียม  ความต่อเนื่องของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง จึงจมปรักอยู่กับความขัดแย้งเดิมๆ แนวร่วมที่เคลื่อนไหวถูกกฎหมายเล่นงาน ทั้ง  มาตรา 112, 115,116, ฯลฯ  การดำรงอยู่ของความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้ไปเรื่อยยิ่งจะทำให้บ้านเมืองหายนะมากขึ้น  ในปัญหาที่เป็นปรากฏการณ์เช่นนี้ อาจารย์วันชัย  พรหมพา  ได้ชี้แจง อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นมานี้ตลอดมาว่าจะแก้ไขได้อย่างไร  ที่สำคัญการแก้ไขปัญหาของชาติได้ นั้น  “กรรมกร”  คือ  กำลังหลักที่จะสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยได้   ภารกิจแห่งชีวิตของอาจารย์วันชัย  พรหมพา ได้เสียสละความเป็นส่วนตัวเพื่อส่วนรวมมาตลอดชีวิต เพื่อบ้านเมือง จึงเป็นบุคคลที่มีค่าควรแก่การยกย่องและมีเกียรติ์มีศักดิ์ศรีอย่างที่สุด ที่ท่านได้ทุ่มเทมาตลอดเสียชีวิต  ซึ่งสิ่งท่านได้เสียสละมาจะได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน  เพราะสิ่งที่ท่านได้อธิบายไว้มันคือ  “สัจธรรม”