กระทรวงการต่างประเทศเตรียมความพร้อมนำคณะฝ่ายไทยไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประเทศไทยในวันที่ 2 ธันวาคมนี้
กระทรวงการต่างประเทศเตรียมความพร้อมนำคณะฝ่ายไทยไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประเทศไทยในวันที่ 2 ธันวาคมนี้
ในโอกาสที่ รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเห็นพ้องที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ณ ท้องสนามหลวง เป็นเวลา 73 วัน ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในปี 2568 นับเป็นกิจกรรมปฐมฤกษ์ ในการฉลองครบรอบความสัมพันธ์ฯ ที่จะมีขึ้นตลอดทั้งปี เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ
วันนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการประสานงานในครั้งนี้ ว่า กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ได้ดำเนินการประสานงานกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การทาบทามขอ และอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายสำหรับการเตรียมการในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนเจรจาจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
สำหรับการเดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นั้น คณะทางการฝ่ายไทยซึ่งมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานโครงการฯ พร้อมด้วยพระเถระ จำนวน 10 รูป นำโดยพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถระสมาคม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 จะเข้าร่วมพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาล โดยมีพิธีทางศาสนาที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง และที่ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่งในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ก่อนที่คณะผู้แทนทั้งฝ่ายไทยทั้งหมดพร้อมคณะทางการของฝ่ายจีน จำนวน 90 คน ซึ่งนำโดยรัฐมนตรีประจำสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน (National Religious Affairs Administration) และพระมหาเถระเหยี่ยนเจวี๋ย ประธานพุทธสมาคมจีน ซึ่งเทียบเท่ากับสมเด็จพระสังฆราชในระบบของไทย พร้อมคณะสงฆ์จีน จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ขึ้นเครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบิน Air China มาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 13.00 น. จากนั้นจะมีพิธีรับที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กองทัพอากาศ ดอนเมือง และอัญเชิญขึ้นรถบุษบกแล่นผ่านเส้นทางที่กำหนดเพื่อไปประกอบพิธีเชิญขึ้นประดิษฐานบนมณฑป ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในช่วงเย็นของวันที่ 4 ธันวาคม 2567 และจะประดิษฐานจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนจะอัญเชิญกลับสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 “พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของจีน และเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เคยอนุญาตให้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในต่างประเทศแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการอัญเชิญมาประดิษฐานที่ประเทศไทย เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2545 ณ พุทธมณฑล เป็นเวลา 76 วัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 75 พรรษา” ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเดินทางเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ(พระเขี้ยวแก้ว) ที่มณฑปประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00 - 20.00 น. โดยเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมดอกไม้สักการะไว้ให้กับประชาชนไม่ต้องนำมาเอง.
ทางด้าน ขสมก. ได้เตรียมความพร้อมจัดรถโดยสารเฉพาะกิจ (จอดรับ - ส่งทุกป้าย) ให้บริการฟรีจำนวน 2 เส้นทาง อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) พร้อมจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ และนายตรวจประจำจุด ณ ท่าปล่อยรถต้นทาง – ปลายทาง เพื่อดูแลด้านการจราจร ความปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเดินรถให้กับประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เส้นทางที่ 1 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ฝั่งเกาะพญาไท) - สนามหลวง (ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า) เส้นทางที่ 2 วงเวียนใหญ่ - สนามหลวง (ตรงข้ามศาลฎีกา)
ทั้งนี้ รถเฉพาะกิจ ทั้ง 2 เส้นทาง ให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00 - 20.30 น. โดยปล่อยรถออกให้บริการทุก 20 นาที ที่ท่าต้นทาง รถคันแรกให้บริการ เวลา 07.00 น. รถคันสุดท้ายให้บริการ เวลา 19.30 น. ท่าปลายทางรถคันสุดท้ายให้บริการ เวลา 20.30 น. หรือจนกว่าจะส่งประชาชนออกจากพื้นที่หมด.
วันนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการประสานงานในครั้งนี้ ว่า กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ได้ดำเนินการประสานงานกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การทาบทามขอ และอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายสำหรับการเตรียมการในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนเจรจาจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
สำหรับการเดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นั้น คณะทางการฝ่ายไทยซึ่งมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานโครงการฯ พร้อมด้วยพระเถระ จำนวน 10 รูป นำโดยพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถระสมาคม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 จะเข้าร่วมพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาล โดยมีพิธีทางศาสนาที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง และที่ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่งในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ก่อนที่คณะผู้แทนทั้งฝ่ายไทยทั้งหมดพร้อมคณะทางการของฝ่ายจีน จำนวน 90 คน ซึ่งนำโดยรัฐมนตรีประจำสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน (National Religious Affairs Administration) และพระมหาเถระเหยี่ยนเจวี๋ย ประธานพุทธสมาคมจีน ซึ่งเทียบเท่ากับสมเด็จพระสังฆราชในระบบของไทย พร้อมคณะสงฆ์จีน จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ขึ้นเครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบิน Air China มาถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 13.00 น. จากนั้นจะมีพิธีรับที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กองทัพอากาศ ดอนเมือง และอัญเชิญขึ้นรถบุษบกแล่นผ่านเส้นทางที่กำหนดเพื่อไปประกอบพิธีเชิญขึ้นประดิษฐานบนมณฑป ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในช่วงเย็นของวันที่ 4 ธันวาคม 2567 และจะประดิษฐานจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนจะอัญเชิญกลับสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 “พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของจีน และเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เคยอนุญาตให้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในต่างประเทศแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการอัญเชิญมาประดิษฐานที่ประเทศไทย เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2545 ณ พุทธมณฑล เป็นเวลา 76 วัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 75 พรรษา” ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเดินทางเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ(พระเขี้ยวแก้ว) ที่มณฑปประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00 - 20.00 น. โดยเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมดอกไม้สักการะไว้ให้กับประชาชนไม่ต้องนำมาเอง.
ทางด้าน ขสมก. ได้เตรียมความพร้อมจัดรถโดยสารเฉพาะกิจ (จอดรับ - ส่งทุกป้าย) ให้บริการฟรีจำนวน 2 เส้นทาง อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) พร้อมจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ และนายตรวจประจำจุด ณ ท่าปล่อยรถต้นทาง – ปลายทาง เพื่อดูแลด้านการจราจร ความปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเดินรถให้กับประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เส้นทางที่ 1 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ฝั่งเกาะพญาไท) - สนามหลวง (ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า) เส้นทางที่ 2 วงเวียนใหญ่ - สนามหลวง (ตรงข้ามศาลฎีกา)
ทั้งนี้ รถเฉพาะกิจ ทั้ง 2 เส้นทาง ให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00 - 20.30 น. โดยปล่อยรถออกให้บริการทุก 20 นาที ที่ท่าต้นทาง รถคันแรกให้บริการ เวลา 07.00 น. รถคันสุดท้ายให้บริการ เวลา 19.30 น. ท่าปลายทางรถคันสุดท้ายให้บริการ เวลา 20.30 น. หรือจนกว่าจะส่งประชาชนออกจากพื้นที่หมด.